Translate

บทความที่ได้รับความนิยม

Wikipedia

ผลการค้นหา

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Sada Abe ตำนานบันลือลั่นของญี่ปุ่นที่ไม่รู้ลืม


เรื่องราวของซาดะ อาเบะ (Sada Abe) และคนรักของเธออิชิดะชื่อคิชิโซ อิชิดะ (Kichizo Ishida) อาจไม่ใช่ความรักชายหญิงที่ทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นหัวใจหรือซาบซึ้งโรแมนติก หากแต่มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความหลงใหล มัวเมา จนกลายเป็นความวิกลจริตที่เปลี่ยนความรักให้กลายเป็นความสยดสยองจนกลายเป็นตำนานบันลือลั่นของญี่ปุ่นที่ไม่รู้ลืม
             
*ซาดะ อาเบะเกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 1905 ในเขตคันดะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นบุตรคนที่เจ็ดในแปดของครอบครัวนายชิเงโยชิ (Shigeyoshi) และนางคัทซึ อาเบะ (Katsu Abe) ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง
ในด้านชีวิตครอบครัว พ่อของอาเบะนั้นเป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรง ส่วนแม่ของเธอได้ให้อิสระแก่อาเบะในฐานะบุตรคนสุดท้องของครอบครัวเต็มที่ด้วยการให้ลูกเรียนในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งอาเบะได้เรียนร้องเพลงและการเล่นดนตรีชะมิเซ็ง (Shamisen) แม้ว่าสมัยก่อนจะมองว่าผู้หญิงที่เรียนวิชาเหล่านี้เพื่อหวังเป็นเกอิซาและโสเภณีมากกว่าจะมองว่าเป็นศิลปะโบราณก็ตาม
             
*เมื่ออาเบะเติบโตเป็นวัยรุ่นอายุ 15 ปี ครอบครัวของอาเบะเริ่มเกิดปัญหามากมาย เมื่อพี่น้องหลายคนของเธอล้มป่วยจนเหลือสี่คน อีกทั้งพี่น้องที่น้องของเธอบางคนมีพฤติกรรมไม่ดีในด้านความเป็นเจ้าชู้และหลอกลวงเงินพ่อแม่ แม้แต่ตัวอาเบะเองก็ถูกคนรู้จักข่มขืนระหว่างไปเที่ยว จนกลายเป็นผู้หญิงรักสนุกและมีนิสัยดื้อด้านไม่เชื่อฟังพ่อแม่
*เมื่อพ่อแม่ไม่สามารถทนได้กับพฤติกรรมที่เหลวแหลกของลูกสาวตัวเอง จึงนำเธอไปขายในซ่องเกอิซาในโยโกฮามาในปี 1922  เพื่อเป็นการลงโทษที่เธอมีพฤติกรรมสำส่อน แต่บางคนเชื่อว่าอาเบะเองอยากเป็นเกอิซาเสียเองมากกว่าเพราะว่าเป็นอาชีพที่ได้เงินดีและเชื่อว่าเป็นเส้นทางที่สดใสที่เหมาะกับเธอ
             
*อาเบะเริ่มต้นด้วยการทำหน้าที่เป็นเด็กฝึกงานเกซิอา แต่ชีวิตไม่ด้วยสวยหรูอย่างที่วาดฝันเอาไว้ เธอต้องผจญกับโลกอันโหดร้ายของเกอิซา ต้องเล่าเรียนและฝึกซ้อมอย่างหนัก แต่ผลออกมากลับไปในทิศทางที่ไม่พอใจ ในไม่ช้าเธอก็จบลงด้วยการกลายเป็นเกอิซาเกรดต่ำ ซึ่งหมายความว่าเธอต้องมีบริการทางเพศกับลูกค้า  เธอทำงานแบบนี้ติดต่อกันถึงห้าปี จนเป็นโรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นเหตุทำให้เธอตัดสินใจหันไปเป็นโสเภณีแทน
             
*ต่อมาอาเบะเริ่มทำงานเป็นโสเภณีที่ซ่องโทบิตะ ในโอซาก้า แต่ชีวิตของเธอก็ยังไม่ดีขึ้น ไม่นานเธอก็มีชื่อเสียงว่าเป็นตัวปัญหา เธอขโมยเงินลูกค้าและพยายามออกจากซ่องหลายครั้ง จนในที่สุดเธอก็กลายเป็นโสเภณีที่ไม่มีใบอนุญาต (ซึ่งเสี่ยงอันตรายกว่าโสเภณีปกติ)
            
หลังจากนั้นชีวิตของอาเบะก็ตกต่ำเรื่อยมา ไม่ว่าเป็นการเสียชีวิตของพ่อแม่ในเวลาไล่เลี่ยงกัน การถูกตำรวจจับเพราะเป็นโสเภณีไม่มีใบอนุญาต เป็นหนี้ เป็นเมียน้อยคนอื่น ถูกผู้ชายทิ้งอย่างไร้เยื่อใย จนต้องเป็นโสเภณีเพื่อแลกกับเงินเล็กน้อย ทั้งหมดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอาเบะมีความอาภัพเรื่องความรัก ไม่เคยเจอรักแท้ กับชายใดเลย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความรู้สึกโหยหาความรัก และพยายามดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อให้ได้มันมาสักวัน
             
*จนกระทั่งในปี 1935 ระหว่างที่อาเบะทำงานเป็นแม่บ้านในนาโกย่า เธอก็ได้กลายเป็นนางบำเรอของนายโกโร่ โอมิยะ (Goro Omiya) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  ซึ่งเขาพยายามสนับสนุนให้เธอเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร ในระหว่างที่ถูกส่งไปเรียนรู้ฝึกงานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอก็พบกับเจ้าของร้านชื่อคิชิโซ อิชิดะ (Kichizo Ishida) ทั้งคู่ต่างลุ่มหลงพึงพอใจในอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว  ทั้งสองรักเรื่อยมาจนกระทั่งนำไปสู่จุดจบอันโด่งดัง

อิชิดะนั้นเป็นชายวัยกลางอายุ 42 ปี เป็นเจ้าของร้านที่อาเบะทำงานอยู่ หลายคนรู้จักเขาว่าเป็นคนเจ้าชู้อย่างร้ายกาจแม้ว่ามีภรรยาแล้วก็ตาม ที่ร้านอาหารของเขาก็มีลูกจ้างหญิงที่คบชู้กับเขาหลายคน  ดังนั้น จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่เขาจะเข้าไปหาอาเบะ ในวันแรกๆ ที่เธอเข้าทำงาน
สำหรับอาเบะเองก็รู้สึกชอบอิชิดะครั้งแรกพบ เพราะชีวิตที่ผ่านมาของเธอนั้นไม่เคยพบชายที่เซ็กซี่ น่าดึงดูดและหลงใหลแบบนี้มาก่อน ทำให้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกันในเวลาต่อมา
หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากมีเวลาว่าง หรือมีโอกาสเมื่อไหร่ ทั้งคู่จะเดินควงกันเปิดห้องในโรงแรมม่านรูด  เพื่อร่วมรักกันแบบมาราธอนข้ามวันข้ามคืน  พร้อมกันนั้นทั้งคู่ยังมีการแต่งบทกวีเกี๊ยวพาราสีแลกเปลี่ยนกัน บางครั้งก็เรียกพนักงานดีดร้องเพลงเกอิซาระหว่างทั้งสองร่วมรักเพื่อให้ดื่มดำกับบรรยากาศโรแมนติกมากที่สุด
ต่อมา การร่วมเพศของทั้งคู่เริ่มพิสดารขึ้น เมื่ออิชิดะพบว่าเขามีความสุขในช่วงจังหวะที่ขาดอากาศหายใจ  ในขณะร่วมรักใกล้สำเร็จความใคร่ อิชิดะจะให้อาเบะใช้สายสะพายโอบิของกิโมโนรัดคอของเขาให้แน่น ก่อนที่จะคลายออก และรัดอีกครั้ง ผ่อนอีกครั้ง ทำแบบนี้สลับไปสลับมาจนถึงจุดสุดยอด  ทั้งสองสนุกกับมัน ตื่นเต้นกับมัน และทำให้การร่วมรักมีสีสันขึ้น

*นานวันอาเบะก็ได้พบว่าตนเองหลงรักอิชิดะ แม้เธอจะผ่านมือชายหลายคน แต่ชายคนนี้พิเศษกว่าใคร  เธอรักเขามาก มากจนความรักของเธอได้พัฒนาจนกลายเป็นความลุ่มหลง และความหึ่งห่วง จนเริ่มมีความรู้สึกไม่ต้องการให้เขากลับไปหาภรรยาของเขา และกลัวเขามีผู้หญิงคนอื่นอีก เพราะมันทำให้เธอเหมือนเป็นผู้หญิงไร้ค่าสำหรับเขาอาเบะรู้สึกโดดเดี่ยวสิ้นหวังมาก หากอิชิดะออกห่างจากตัวของเธอแม้จะเป็นช่วงเวลาเล็กน้อยก็ตาม เธอเริ่มดื่มเหล้าอย่างหนัก เริ่มมีอารมณ์แปรปรวน ถึงขั้นเธอขู่อิชิดะด้วยมีด และพูดว่าหากเขามีผู้หญิงคนอื่นอีก เธอจะฆ่าเขา แต่อิชิดะไม่สนใจคำเตือนมากนักเพราะมองเป็นเรื่องขบขันล้อเล่นมากกว่า

*วันที่ 16 พฤษภาคม 1936 ทั้งคู่ได้เช่าห้องในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งในโอกุ (Ogu)  เพื่อร่วมรักแบบมาราธอน
การร่วมรักของทั้งคู่ดูเหมือนปกติเหมือนครั้งก่อน จนกระทั่งถึงคืนที่สอง ทั้งคู่ก็เริ่มใช้วิธีรัดคอในช่วงสำเร็จความใคร่ จนเวลาผ่านไปสองชั่วโมง อิชิดะก็เริ่มทานยากล่อมประสาทกว่า 30 เม็ด เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด จนเริ่มหลับในและเอ่ยประโยคหนึ่งเชิงล้อเล่นว่า 

"เธอจะเอาเชือก(โอบิ)รัดคอฉันอีกครั้งตอนที่ฉันกำลังหลับใช่ไหม ถ้าเธอจะรัดคอฉันล่ะก็ อย่าหยุดล่ะ เพราะถ้าเธอหยุดล่ะก็ ฉันก็จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดอีก"

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่รู้คืออาเบะได้ฆ่าอิชิดะในขณะนอนหลับด้วยการรัดคอ เพียงแต่ไม่รู้สาเหตุการฆาตกรรมเป็นเจตนาของเธอเองเพราะได้ยินประโยคเชิงล้อเล่นของอิชิดะ  หรือเป็นเพราะจังหวะใช้เชือกรัดนานเกินไปจนทำให้อิชิดะขาดใจตายแบบไม่ได้ตั้งใจ  ซึ่งอาเบะได้บรรยายความรู้สึกหลังจากสังหารอิชิดะในภายหลังว่า “หลังจากที่ฉันได้ฆ่าอิชิดะ ฉันก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างง่ายดาย ราวกับว่าภาระหนักถูกยกออกจากไหล่ของฉัน และฉันก็รู้สึกปลอดโปร่ง”เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง อาเบะยังอยู่กับศพของอิชิดะ ก่อนที่เธอจะหยิบมีดทำครัวตัดอวัยวะเพศของเขา แล้วห่อมันในปกนิตยสาร จากนั้นเธอก็เลือดเขียน"อาเบะ คิจิ อยู่ด้วยกัน" ที่ต้นขาซ้ายของเขาและบนผ้าปูที่นอน และเธอยังสลักคำว่าอาเบะ (อักษรญี่ปุ่น) ไว้ที่แขนซ้ายของเขาเพื่อแสดงถึงความรักของเราทั้งสอง

ประมาณ 8 โมง อาเบะได้ออกจากโรงแรม และบอกพนักงานว่าไม่ต้องรบกวนแฟนของเธอ ซึ่งกว่าที่จะพบศพของอิชิดะ ก็อีกหลายชั่วโมงต่อมา ซึ่งถึงตอนนั้นเธอก็หนีจากที่เกิดเหตุไปไกลแล้ว
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ อาเบะยังคงพกอวัยวะเพศของเขาติดตัวในชุดกิโมโนเกือบตลอดเวลา  อีกทั้งเธอยังคงเดินช้อปปิ้ง ดูภาพยนตร์ และพักอยู่ในชินากาวะในโตเกียวอย่างสบายใจ ที่น่าทึ่งคือเธอยังคงยึดติดกับความรักของอิชิดะ รักจนถึงขั้นได้ร่วมรักกับอวัยวะเพศ เอาอวัยวะใส่เข้าไปในปากหรือแม้แต่พยายามสอดใส่ แม้ว่าอวัยวะเพศดังกล่าวจะแห้งเหี่ยวไม่ทำงานแล้วก็ตาม
 
*จนกระทั่งวันที่ 21 พฤษภาคม ในช่วงเวลาบ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจนักสืบได้เบาะแสของผู้เช่าห้องคนหนึ่งที่น่าจะเป็นชาดะ บุคคลที่พวกเขาตามหา หลังจากที่พวกเขามาห้อง เธออยู่ที่นั้นพอดี และเมื่อเธอเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนักสืบจึงได้พูดว่า 

“ไม่ต้องเป็นมีพิธีการมากหรอก คุณกำลังหาซาดะ อาเบะ ใช่เปล่าล่ะ ฉันนี้แหละคือเธอ” เมื่อตำรวจไม่เชื่อ เธอจึงแสดงอวัยวะเพศอิชิดะเป็นหลักฐาน
อาเบะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับในข้อหาฆาตกรรม พร้อมทั้งหลักฐานผูกมัดทุกอย่าง เธอยินยอมรับสารภาพโดยดี พร้อมสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไร้วี่แววสะทกสะท้านหวาดกลัว  เธอพูดด้วยซ้ำว่าเธอวางแผนที่จะฆ่าตัวตายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรม เธอตัดใจจะไปโอซาก้า ไปยังหน้าผาในภูเขาอิโคมะ (Mount Ikoma) เพื่อหวังกระโดดฆ่าตัวตายพร้อมอวัยวะเพศของอิชิดะ  แต่มาจับได้เสียก่อน

เมื่อตำรวจถามอาเบะว่าทำไมถึงฆ่าอิชิดะที่เป็นคนรักของเธอ ท่าทางของเธอเวลานั้นดูตื่นเต้นและดวงตาเป็นประกาย เธอตอบแค่ว่า “ฉันรักเขามาก ฉันอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาทั้งหมด แต่เนื่องจากเราไม่ได้เป็นสามีและภรรยากัน ตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ เขาคงจะมีผู้หญิงคนอื่น ถ้าหากฉันฆ่าเขา เขาก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีก และฉันก็ครอบครองเขาไว้คนเดียว ดังนั้นฉันจึงฆ่าเขา....”
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมอาเบะถึงต้องเฉือนอวัยวะเพศของคิซิโซติดตัวไปด้วย เธอตอบว่า “เพราะหากฉันเอาหัวหรือร่างกายเขาไปมันคงยาก ฉันต้องการเอาชิ้นส่วนที่เป็นส่วนหนึ่งของเขา ที่ฉันจะสามารถรำลึกความหลังระหว่างเขากับฉันได้ดีที่สุด”

*ต่อมา ข่าวการจับกุมอาเบะกลายเป็นที่โดดดังไปทั่วประเทศ ประชาชนรู้สึกทึ่งพฤติกรรมการก่อคดีสะเทือนของเธอ แม้ว่าเวลานั้นญี่ปุ่นกำลังเครียดจากปัญหาทางการเมืองและทางการทหารอย่างรุนแรงจากสงครามในประเทศจีน แต่เรื่องของอาเบะนั้นเป็นคดีอื้อฉาวทางเพศที่มีสีสันและพิสดารที่น่าสนใจมากในเวลานั้น เป็นเหตุทำให้สื่อมวลชนเริ่มขุดคุ้ยหาประวัติของเธอเพื่อเผยแพร่แก่สาธารณะชนที่ต้องการทราบรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นประวัติครอบครัว หน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัวของอาเบะแทบทุกอย่าง
อาเบะไม่ได้ตกเป็นเป้าของสื่อมวลชนอย่างเดียว นายโกโร่ผู้ที่อาเบะให้ความเคารพในฐานะอดีตคนรักก็ถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมอิชิดะหรือไม่ แม้ว่าต่อมาเขาจะได้รับการปล่อยตัว เขาลาออกจากหน้าที่การงานตำแหน่งทางการเมืองและหายหน้าไปจากสังคม ส่วนภรรยาของอิชิดะต้องอับอายขายหน้าเมื่อทราบข่าวสามีของเธอตาย (เธอแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามีมีชู้) แต่นั้นก็ทำให้ร้านอาหารของอิชิดะโด่งดังไปทั่ว ทางด้านโรงแรมที่เกิดเหตุได้กลายเป็นที่ดึงดูดลูกค้าที่ส่วนมากเป็นคู่รักมาใช้บริการ โดยเฉพาะห้องที่นายอิชิดะเสียชีวิตได้รับความนิยมเป็นพิเศษ
            
*วันแรกของการพิจาณาคดีของอาเบะ ตรงกับวันที่วันที่ 25 พฤศจิกายน 1936 เธอปรากฏตัวในชั้นศาลในสภาพสวมหมวกรูปกรวยเพื่อปิดใบหน้าของเธอ (ทางศาลอนุญาตเป็นพิเศษ)  ในวันนั้นฝูงชนได้แห่อย่างคับคั่นมาจนแน่นศาล 
            
ที่ชั้นศาลซาดะได้พูดถึงความรู้สึกความรักของเธอที่มีต่ออิชิดะไว้ว่า “สิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นคือฉันถูก (สังคม) เข้าใจผิดว่าเป็นคนประเภทโรคจิตหื่นกาม  ไม่เคยมีผู้ชายในชีวิตของฉันคนไหนที่เหมือนกับอิชิดะ  แน่นอนว่าฉันเคยมีผู้ชายที่ฉันชอบ  และมีบางคนที่ฉันหลับนอนด้วยโดยไม่คิดเงิน  แต่ไม่มีใครเลยที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบเดียวกับที่ฉันเป็นกับเขา...”
             
*การพิจารณาคดีในชั้นศาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะอาเบะยอมรับทุกข้อกล่าวหา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอหวังว่าศาลจะตัดสินโทษประหารแก่เธอ เพื่อที่เธอจะได้อยู่กับอิชิดะ ส่วนทนายของเธอก็ใช้ข้ออ้างลูกความของตนเป็นบ้าเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษ
วันที่ 21 ธันวาคม 1936 ผลการตัดสินของศาลได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในห้องพิจารณาคดี เมื่อศาลได้ตัดสินโทษซาดะ อาบะเพียงแค่จำคุก 6 ปี ซึ่งผู้พิพากษาสรุปว่าเธอมีอาการทางจิตและการจำคุกระยะเวลาดังกล่าวน่าจะเพียงพอในการฟื้นฟูสภาพจิตใจของให้กับเธอกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
อาเบะถูกนำตัวไปคุมขังในสถานกักกันคุกหญิง จังหวัดโทะชิงิ ที่นั้นเธอกลายเป็นนักโทษที่มีพฤติกรรมดี ชอบศึกษาพุทธปรัชญา ต่อมาก็ได้รับการการพระราชทานอภัยโทษ  ได้รับการปล่อยตัว

วันที่ 17 พฤษภาคม 1941 ซึ่งเป็นวันครบรอบห้าปีที่เธอตัดสินใจฆ่าอิชิดะพอดี
หลังอาเบะพ้นโทษ แม้ว่าเธอจะกลับตัวกลับใจ เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่สังคมญี่ปุ่นไม่ได้ลืมเลือนพฤติกรรมการก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญของเธอที่ทำเอาไว้ ตัวตนของอาเบะที่หลายคนรู้จักคือ “โรคจิตเซ็กต์”  เป็นเหตุทำให้ชีวิตปั่นปลายนอกคุกของอาเบะไม่ราบรื่นมากนัก สังคมไม่ให้เปิดโอกาสให้เธอแก้ตัว ทำงานที่ไหนก็ไปไม่รอดถูกไล่ออกหลังจากที่นายจ้างรู้ตัวจริงของเธอ
            
*อาเบะต้องทนความอัปยศมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำบทสัมภาษณ์และประวัติชีวิตของเธอมาเขียนเป็นหนังสือทั้งทีเธอไม่อนุญาตจนคนรู้จักไปทั่ว ไปที่ไหนก็มีแต่คนล้อเลียน ไปจนถึงถูกครอบครัวและคนรู้จักตัดขาดไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเธออีก
            
ในเดือนสิงหาคม 1970 อาเบะได้หายสาบสูญไปจากสังคม หลังจากนั้นข่าวคราวของเธอก็ค่อย ๆ เลือนหายไป บางกระแสกล่าวว่า อาเบะเปลี่ยนชื่อและแต่งงานใหม่ แต่ก็ต้องลงเอยด้วยการหย่าร้างเพราะสามีทราบความจริงว่าเธอคือใคร บ้างก็ว่าเธอฆ่าตัวตาย ในขณะที่บางคนพบเห็นบวชเป็นชีในวัดแห่งหนึ่งในคันไซ แต่เรื่องทั้งหมดก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก
            
*ส่วนอวัยะเพศอิชิดะนั้นต่อมาก็ถูกย้ายไปเก็บรักษาที่มหาวิทยาลัยกรุงโตเกียว ในพิพิธภัณฑ์โรงเรียนเวชศาสตร์ แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง อวัยวะเพศก็หายไปและไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลยจนถึงปัจจุบัน
หลายปีผ่านมา สังคมญี่ปุ่นเปิดกว้างมากขึ้น เรื่องของอาเบะไม่ได้ถูกรุมประณามติเตียนในฐานะ ฆาตกรอีกต่อไป เธอได้รับการชื่นชมประหนึ่งวีรสตรี  ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ลุกขึ้น "ขบถ" ที่ผู้หญิงญี่ปุ่นจำนวนมากปรารถนาจะเจริญรอยตาม (เพราะผู้หญิงตกอยู่ภายใต้การครอบงำกดทับของวิถีชีวิตที่ "ผู้ชายเป็นใหญ่" มาเนิ่นนานหลายศตวรรษ

เรื่องราวของอาเบะมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและวรรณกรรมของญี่ปุ่น ถูกถ่ายทอดเป็นผลงานมีค่าหลายชิ้นไม่ว่า ภาพวาด, บทกวี, บทกลอน, ภาพยนตร์มากมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ความเร้าอารมณ์ความรู้สึกของผู้หญิง ที่น่าขนลุก ยกตัวอย่าง ภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง “อาณาจักรแห่งความรู้สึก”  (The Realm of the Senses) ที่ฉายในปี 1976 กำกับโดยนางิสะ โอชิมา (Nagisa Oshima) ที่สร้างความตลกตะลึงไปทั่วโลก ด้วยเนื้อหาเต็มไปด้วยฉากมีเพศสัมพันธ์ที่วิตถาร พิสดารก่อนที่จะจบด้วยฉากช็อกคนดู ด้วยฉากความตายที่สยดสยอง จนถูกห้ามหรือเซ็นเซอร์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ทุกวันนี้เรื่องราวของซาดะ อาเบะยังคงเล่าขานจนกลายเป็นบุคคลประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อย

รายการบล็อกของฉัน